ยุคของไดโนเสาร์
ยุคของไดโนเสาร์
เมื่อหลายล้านปีก่อนโลกได้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ขึ้นมาบนโลก
มี หลายเผ่าหลายพันธุ์สาย ทั้งประเภทกินเนื้อและกินพืชเป็นอาหาร
ต่างฝ่ายก็มีหลายเผ่าหลายพันธุ์สาย ทั้งประเภทกินเนื้อและกินพืชเป็นอาหาร ต่างฝ่ายก็ซึ่งต่างก็ได้รับสมญานามว่าเป็นนักล่า
โดยเฉาะ ทีแร็กซ์ และแร็พเตอร์ นับว่าเป็นนักล่าในยุคจูลลาสสิค
และฝ่ายหาอาหารจากพืชก็จะมีสิ่งป้องกันบางอย่างเพื่อเป็นเกราะคุ้มครองของตน เอง
เช่นหนามที่แหลมคม พวกนี้จะไม่ทำอันตรายพวกอื่นก่อนถ้าไม่ถูกรบกวนหรือถูกรุกรานก่อน
แต่แล้วสายพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะต้องเผชิญกับหายนะอันใหญ่
หลวงของโลกจากกลุ่มหินอุกกาบาตที่เข้าถล่มโลกอย่างบ้าคลั่ง
ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องจบสิ้นลงไปด้วยเพราะไม่อาจทนความร้อนได้
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเขม่าและควันไฟที่โพยพุ่ง โลกเต็มไปด้วยความมืดมิดไม่มีแสงสว่าง
และเป็นเช่นนั้นอยู่หลายปีและโลกเริ่มเย็นขึ้นๆเรื่อยๆ
และต่อมาก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
เริ่มเข้ายุคใหม่ที่เริ่มก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตยุดใหม่เข้ามาแทนที่สัตว์ใหญ่
ที่เคยครองโลกอยู่คงเหลือแต่ซากเถ้ากระดูกและฟอสซิลให้เห็นมาจนตราบทุกวันนี้
ซากดึกดำบรรพ์
หรือ ฟอสซิล (fossil) คือ
ซากหรือร่อง รอยของพืชหรือสัตว์ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติในชั้นหินในเปลือกโลก
ประโยชน์ของฟอสซิล
ฟอสซิลสามารถบอกให้เราทราบถึงชนิดรูปแบบและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในช่วง
ระยะเวลาทาง ธรณีวิทยารวมทั้งบ่งบอก สภาพแวดล้อมของ โลกในอดีตกาลอีกด้วยเนื่องจากในแต่ละช่วงระยะ
เวลาทางธรณีวิทยาจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น เฉพาะบางชนิดเท่านั้น
จากการคำนวณหาอายุของหินทั้งในโลกและจากดาวต่างๆในระบบสุริยจักรวาลโดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง จากดวงจันทร์ โดยการศึกษาไอโซโทป(isotope)ของธาตุกัมมันตรังสีต่างๆ(radioactive elements)ที่เป็นส่วนประกอบของหิน
รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบชั้นหินโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์
ทำให้ทราบอายุของโลกโดยประมาณ 4,600,000,000 ปี
ยุคของไดโนเสาร์ประกอบไปด้วย 3 ยุคหลักคือ
ยุคไทรแอสซิก
เป็นยุคกำเนิดไดโนเสาร์ตัวแรก ราวๆ 230 ล้านปีก่อน การครอบครองโลกของไดโนเสาร์ในยุคนี้โลกถูกปกคลุมด้วยป่าไม้จำนวนมาก
พืชตระกูลที่ใช้สปอร์ในการขยายพันธ์ประสบความสำเร็จและมีวิวัฒนาการถึงขั้นสูงสุด
ในป่ายุคไทรแอสสิกช่วงแรกนั้นมีสัตว์ใหญ่ไม่มากนักสัตว์ปีกที่ใหญ่ที่สุดคือแมลงปอยักษ์
“เมกานิลร่า” หรือแมลงป่องยักษ์
“บรอนโตสกอร์ปิโอ” เนื่องจากในช่วงปลายของยุคเพอร์เมียนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตทำให้พวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมจำนวนมากสูญพันธุ์ไปพวกที่เหลือได้สืบทอดเผ่าพันธุ์มาจนถึงต้นยุคไทรแอสสิกไดโนเสาร์ก็ถือกำเนิดขึ้นโดยพวกมันวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานที่เดินด้วยขาหลังอย่างเจ้าธีโคดอน
และอาร์โคซอร์ซึ่งถือกันว่าเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์
การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในยุคเพอร์เมียนทำให้พวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างมากมายในช่วงต้นยุคไทรแอสสิกและกลายมาเป็นคู่แข่งของพวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือ ไดโนเสาร์ในยุคแรกเป็นพวกเดินสองขา เช่น พลาทีโอซอร์ หรือ ซีโลไฟซิส เป็นบรรพบุรุษของพวกกินพืช และกินเนื้อในช่วงเวลาต่อมา ทำให้พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคยครองโลกในยุคเพอร์เมี่ยนนั้นต้องวิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่จะหลบหนีพวกไดโนเสาร์ที่ใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้น และหลีกทางให้เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ก้าวมาครองโลกนี้แทนในที่สุด
การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ในยุคเพอร์เมียนทำให้พวกมันสามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้อย่างมากมายในช่วงต้นยุคไทรแอสสิกและกลายมาเป็นคู่แข่งของพวกสัตว์เลื้อยคลานกึ่งเลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลือ ไดโนเสาร์ในยุคแรกเป็นพวกเดินสองขา เช่น พลาทีโอซอร์ หรือ ซีโลไฟซิส เป็นบรรพบุรุษของพวกกินพืช และกินเนื้อในช่วงเวลาต่อมา ทำให้พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เคยครองโลกในยุคเพอร์เมี่ยนนั้นต้องวิวัฒนาการให้มีขนาดเล็กลงเพื่อที่จะหลบหนีพวกไดโนเสาร์ที่ใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้น และหลีกทางให้เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ก้าวมาครองโลกนี้แทนในที่สุด
ยุคไทรแอสสิคยังถือว่าเป็นยุคเชื่อมสัตว์โบราณ
และไดโนเสาร์ในยุคแรกรวมกันซึ่งไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จักในยุค
รวมถึงสัตว์ในไทรแอสสิค มีรายชื่อหลักๆดังนี้
1.
Nothosaurus
2.
Shonisaurus
3.
Euparkeria
4.
Herrerasaurus
5.
Riojasaurus
ยุคจูแรสซิก
จูราสสิคเริ่มต้นขึ้นราวๆ
199 ล้านปีก่อน เมื่อผืนแผ่นดินใหญ่ทวีปแพนเจียแยกตัวทำให้เกิดหมู่เกาะขึ้นบนโลกมากมาย
ความอุดมสมบูรณ์กระจายเข้าครอบคลุมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผืนป่า น่านฟ้า และมหาสมุทร
และเกิดเป็นชายสั่งน้ำตื้นมากมายรอดหมู่เกาะ
โลกในยุคนี้ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยพืชขนาดยักษ์จำพวกสนและเฟิร์น
มีพืชดอกปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงกลางของยุคนี้
นับว่าเป็นจุดเริ่มของการขยายพันธุ์รูปแบบใหม่ของพวกพืช
การวิวัฒนาการขั้นสูงสุดในยุคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับพืชพันธุ์เท่านั้น
มันยังทำให้ไดโนเสาร์กลายเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกนี้เคยมีมา
ไดโนเสาร์จำพวก พราทิโอซอรัส กลายเป็นกลุ่ม ซอโรพอด ขนาดยักษ์เช่น บราคิโอซอรัส
อะแพทโทซอรัส และ ดิปโพลโดคัส
ไดโนเสาร์กินเนื้อก็วิวัฒนาการจนสุดโต่งมีกรงเล็บที่แหลมคม วิ่งไว แข็งแรงขึ้น
ขนาดใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ไดโลโฟซอรัส ไปจนถึงอัลโลซอรัส
ธรรมชาติเมื่อสร้างผู้ล่าก็ต้องเครื่องอาวุธต่อกรให้กับผู้ถูกล่าเช่น สเตโกซอรัส
มีหนามแหลมปลายหางไว้ต่อกรกับสัตว์กินเนื้อ หรือแส้ปลายหางของดิปโพลโดคัส
เมื่อผืนดินกลายเป็นของไดโนเสาร์ทั้งหมด มหาสมุทรก็ปกครองโดนอสูรกายใต้ทะเลอย่าง
เพรสซิโอซอร์ ชนิดต่างๆ มันมีครีบแทนขาทั้งสี่ข้าง มีคอที่ยาวพร้อมฟันอันแหลมคม
สัตว์ทะเลอาธิเช่น ไลโอเพลโลดอน สามารถเขมือบ เซอราโทซอรัสเข้าไปได้ทั้งตัว
บนฟ้าก็มีนกนักล่า เทอร์โรซอร์ในยุคแรก
ถือว่ายุคจูราสสิคเป็นยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลกจริงๆก็ว่าได้ และนี่คือรายชื่อความไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จักในยุคจูราสสิคมีดังนี้
1.
Ophthalmosaurus
2.
Dilophosaurus
3.
Vulcanodon
4.
Mamenchisaurus
5.
Ceratosaurus
ยุคครีเทเชียส
ครั้งสุดท้ายที่ไดโนเสาร์ได้ครองโลกก่อนจะสูญพันธุ์ไป
ยุคนี้เริ่มตั้งแต่ 145 ล้านปี
และหมดสิ้นไปเมื่อ 70 – 65 ล้านปี
ผืนแผ่นดินทวีปแพนเจียได้แยกตัวออกอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดทวีปเล็กๆมากมาย
ซึ่งใกล้เคียงกับโลกในปัจจุบันที่เราอยู่มาก ด้วยทวีปที่แยกกันออกไปมากมายทำให้สัตว์ในแต่ละพื้นที่เริ่มวิวัฒนาการลักษณะเฉพาะตัว
บ้างมีขนาดเล็กลง บ้างมีขนาดใหญ่ขึ้นจนน่าตกใจ
พืชพันธุ์เริ่มเปลี่ยนสภาพไปตามภูมิอากาศที่เริ่มมีกำมะถันเจือปนในบางพื้น
ทำให้ยุคครีเทเซียสมีอากาศเป็นพิษในช่วงปลายยุค
ไดโนเสาร์ในยุคนี้เป็นยุคที่อันตรายที่สุดเนื่องจากวิวัฒนาการผลักให้ผู้ล่ามีขนาดใหญ่กว่าผู้ถูกล่า สัตว์กินเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่า 1 เท่าอาทิเช่น อาโครคานโทซอรัส กีกาโนโทซอรัส คาร์คาโรดอนโทซอรัส มาพูซอรัส และสไปโนซอรัส มีขนาดใหญ่กว่า 15 เมตร จนทำให้ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่น่าเกรงขามเมื่อ 20 ปีที่ร้ายตกอันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลุ่มกินพืชได้วิวัฒนาการเขา และเกราะอันทรงพลังเพื่อป้องกันภัยจากนักล่าพวกนี้ อาทิเช่น ไทรเซอราทอปส์ สไตราโคซอรัส แองคิโลซอรัส และยูโอโพลซีฟารัส กลุ่มโดรมิโอซอร์กลายเป็นนักล่าขนาดเล็กที่ว่องไว และน่ากลัว เช่น ไดโนไนคัส ยูทาร์แรปเตอร์ และเวโลซีแรปเตอร์
ความหลากหลายของยุคครีเทเชียสทำให้เกิดสายพันธุ์ไดโนเสาร์แปลกประหลาดมากมาย ก่อนที่พวกมันจะถูกบีบโดยธรรมชาติให้สูญพันธุ์ไป นี่คือรายชื่อของไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จักในยุคนี้
ไดโนเสาร์ในยุคนี้เป็นยุคที่อันตรายที่สุดเนื่องจากวิวัฒนาการผลักให้ผู้ล่ามีขนาดใหญ่กว่าผู้ถูกล่า สัตว์กินเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่า 1 เท่าอาทิเช่น อาโครคานโทซอรัส กีกาโนโทซอรัส คาร์คาโรดอนโทซอรัส มาพูซอรัส และสไปโนซอรัส มีขนาดใหญ่กว่า 15 เมตร จนทำให้ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่น่าเกรงขามเมื่อ 20 ปีที่ร้ายตกอันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลุ่มกินพืชได้วิวัฒนาการเขา และเกราะอันทรงพลังเพื่อป้องกันภัยจากนักล่าพวกนี้ อาทิเช่น ไทรเซอราทอปส์ สไตราโคซอรัส แองคิโลซอรัส และยูโอโพลซีฟารัส กลุ่มโดรมิโอซอร์กลายเป็นนักล่าขนาดเล็กที่ว่องไว และน่ากลัว เช่น ไดโนไนคัส ยูทาร์แรปเตอร์ และเวโลซีแรปเตอร์
ความหลากหลายของยุคครีเทเชียสทำให้เกิดสายพันธุ์ไดโนเสาร์แปลกประหลาดมากมาย ก่อนที่พวกมันจะถูกบีบโดยธรรมชาติให้สูญพันธุ์ไป นี่คือรายชื่อของไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จักในยุคนี้
1. Microraptor
2. Dromiceiomimus
3. Pachyrhinosaurus
4. Opisthocoelicaudia
5. Saichania
และอีกยุคหนึ่งที่อยากนำเสนอ
คือยุคน้ำแข็ง ที่มีความน่าสนใจมากๆอีกยุคหนึ่ง
ยุคน้ำแข็ง Ice Age
สองล้านห้าแสนปีก่อน
ในช่วงปลายยุคพลีโอซีน อุณหภูมิของโลกได้ลดต่ำลง
โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเกิดคอคอดปานามา ที่ปิดกั้นการไหลของน้ำในมหาสมุทร
ส่งผลให้กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมพัดไปทางขั้วโลกเหนือ
ก่อให้เกิดหยาดน้ำฟ้าตกลงมาเป็นหิมะ ทำให้ธารน้ำแข็งของโลกก่อตัวหนาขึ้น
ส่งผลให้สภาพอากาศของโลกเย็นลงกว่าเดิมและก่อให้เกิดธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่
สภาพดังกล่าว ส่งผลให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้นกว่า 20 ครั้ง
และเมื่อเข้าถึงช่วงยุคพลีสโตซีนตอนปลายเมื่อราวหกหมื่นปีที่แล้ว
พืชน้ำแข็งก็ได้ปกคลุมดินแดนตอนเหนือของโลก อันได้แก่ บางส่วนตอนเหนือของเอเชีย
ทวีปยุโรป และ ทวีปอเมริกาเหนือ
ในยุคน้ำแข็ง
ทวีปอเมริกาเหนือ หรือ
ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่า โลกใหม่
การลดระดับลงของน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ก่อให้เกิดสะพานธรรมชาติเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและเอเชีย
ดินแดนดังกล่าวกินพื้นที่ซึ่งปัจจุบัน คือ ช่องแคบเบริ่ง จึงได้ชื่อว่า เบริงเจีย
(Beringia) และโดยสะพานธรรมชาติเบริงเจียนี่เองที่ทำให้สิ่งมีชิวิตจากทวีปเอเชียและอาฟริกาอพยพเข้าไปในอเมริกาเหนือ
ซึ่งก็รวมทั้งบรรพบุรุษรุ่นแรกของมนุษย์เราด้วย
สัตว์โบราณกลุ่มแรกของอเมริกาที่น่าสนใจก็คือ
ช้าง ในยุคแรกนั้นช้างมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและกระจายพันธุ์ไปยังทวีปต่าง ๆ ในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคพลีสโตซีนก็มีช้างมากมายหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่บนโลก
โดยมีขนาดและรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป
ตั้งแต่ช้างแคระขนาดเท่าควายที่อยู่ตามเกาะแก่งของทะเลเมดิเตอเรเนียนจนถึงช้างแมมมอธในเขตทุ่งน้ำแข็งทางเหนือ
สำหรับทวีปอเมริกาเหนือในช่วงเวลาดังกล่าวมีช้างอาศัยอยู่หลายชนิด
โดยช้างที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่ ช้างแมมมอธขนปุย (wooly
mammoth), ช้างมาสโตดอน (Mastodon) และ
โคลัมเบียนแมมมอธ (Columbian Mammoth)
ช้างแมมมอธขนปุย (wooly mammoth)
ช้างมาสโตดอน
(Mastodon)
โคลัมเบียนแมมมอธ (Columbian Mammoth)
ช้างแมมมอธขนปุยพบกระจัดกระจายทั่วไปตั้งแต่แถบเบริงเจียจนถึงตอนเหนือของทวีป
ในขณะที่โคลัมเบียนแมมมอธจะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ถัดลงมา ลักษณะโดยทั่วไปของช้างแมมมอธแห่งอเมริกาคล้ายกับญาติของมันที่อยู่ในทวีปยุโรป
โดยพวกแมมอธขนปุยจะมีขนาดพอกับช้างเอเชียตัวเขื่อง ๆ สูงที่ไหล่ราว 9 – 10 ฟุต หนักประมาณ 5 ตัน
มีใบหูเล็กเพื่อช่วยในการรักษาอุณหภูมิร่างกาย
งายาวโค้งใช้ประโยชน์ในการคุ้ยหิมะเพื่อหาอาหาร มีขนยาวหนาสองชั้นหุ้มร่างกาย
โดยขนชั้นนอกจะยาวกว่าชั้นใน เพื่อช่วยในการสร้างความอบอุ่น จุดเด่นอย่างหนึ่งของพวกแมมมอธก็คือโดมสูงที่ศรีษะ
ซึ่งทำให้มันดูสูงใหญ่กว่าที่เป็นจริง
สำหรับมาสโตดอน
มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับช้างปัจจุบัน งายาวค่อนข้างตรง
แต่ร่างกายก็มีขนปกคลุมร่างกายเช่นเดียวกับแมมมอธ
มีบริเวณที่อยู่กว้างกว่าช้างแมมมอธ โดยพบเลยลงมาถึงแถบอเมริกากลาง
สำหรับช้างยักษ์ตัวสุดท้าย ได้แก่ โคลัมเบียนแมมมอธ
เป็นช้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีควาามสูงที่ไหล่ราวสิบสามฟุต และอาจหนักเกือบ 6
ตัน มีงายาวโค้งและมีศรีษะเป็นรูปโดมสูงเหมือนแมมมอธขนปุย
แต่เนื่องจากบริเวณที่โคลัมเบียนแมมมอธอาศัยอยู่มีภูมิอากาศอบอุ่นกว่า จึงคาดกันว่า
โคลัมเบียนแมมมอธน่าจะมีขนสั้นกว่าแมมมอธขนปุย
แม้จะมีความแตกต่างในลักษณะทางกายภาพและบริเวณที่อยู่อาศัย
แต่ช้างทั้งสามชนิดนี้ก็เป็นสัตว์สังคมที่อาศัยอยู่รวมเป็นฝูงเช่นเดียวกับช้างในปัจจุบัน
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในตอนปลายยุคน้ำแข็ง
จะเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการสูญพันธุ์ของเหล่าสัตว์ยักษ์ยุคน้ำแข็ง ในทวีปอเมริกาเหนือ แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
ผู้ที่เร่งเวลาหายนะของเหล่าสัตว์ยักษ์ยุคน้ำแข็งนี้ก็คือ มนุษย์
จากหลักฐานของซากดึกดำบรรพ์ที่ค้นพบในแถบอเมริกาเหนือ
พบว่าหลังจากที่มนุษย์เข้าตั้งรกรากได้เพียงหนึ่งพันปี
สัตว์ขนาดใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือกว่าสามสิบชนิดก็ต้องสูญพันธุ์ไป
และสัตว์ใหญ่เพียงชนิดเดียวที่หลงเหลือจากยุคน้ำแข็งก็คือควายไบซัน
อย่างไรก็ตามนับจากช่วงเวลานั้นมาจนถึงยุคที่ชาวผิวขาวเข้ามาตั้งรกรากบนแผ่นดินอเมริกา
ไม่มีหลักฐานว่ามีการสูญพันธุ์ใด ๆ เกิดขึ้น
ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือได้สร้างวิถีชีวิตใหม่ในการอยู่ร่วมและเคารพในธรรมชาติ
แต่เมื่อชนผิวขาวเข้ามาถึง การทำลายล้างก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปี
ควายไบซันกว่าหกสิบล้านตัวถูกกวาดล้างจนแทบหมดสิ้นไปจากทุ่งราบ
อาจกล่าวได้ว่าชะตากรรมของเหล่าสัตว์ยักษ์ในทวีปอเมริกาเหนือจบสิ้นลงจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและการล่าของมนุษย์
ประวัติผู้เขียน
ชื่อ นางสาวณัฐสินี ชูแก้ว
วันเกิด 20 มิถุนายน พ.ศ.2544
กำลังศึกษาอยู่ที่
โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 เลขที่ 5
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 เลขที่ 5
Name :
Miss Natsinee Chukaew
Birthday :
June 20th 2001
Studying
at Donmuang Taharnargardbumrung school
School’s address : 337, Cheidwuthakas
road, Seekan ,Khet Don
Mueang, Bangkok Thailand
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น